top of page
+55.jpg

 เทรดบิตคอยน์

         หากใครที่ไม่มีคอมพิวเตอร์แรง ๆ หรือเครื่องขุด ASIC ไปขุดบิตคอยน์ เราอาจใช้วิธีเทรดบิตคอยน์ตามตลาดซื้อ-ขายแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลต่าง ๆ ก็ได้ เริ่มจากสมัครสมาชิกในเว็บไซต์ที่ได้รับใบอนุญาตจากศูนย์ซื้อ-ขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Exchange) ซึ่งมีอยู่มากมาย เช่น bitkubsatangcorp, ​Huobi, ​zipmex (ตรวจสอบรายชื่อทั้งหมดได้ที่นี่)

 

          เมื่อสมัครสมาชิกแล้ว เราสามารถฝากเงินเข้าพอร์ต แล้วซื้อบิตคอยน์ไว้เก็งกำไรเหมือนกับการซื้อหุ้นอย่างไรอย่างนั้น จะถือสั้น ถือยาว ก็แล้วแต่สไตล์ของเรา ซึ่งอัตราแลกเปลี่ยนจะขึ้นกับกลไกการตลาดกำหนด คือ ช่วงเวลาไหนที่ได้รับความนิยมสูง มูลค่าของบิตคอยน์ก็จะสูงขึ้นตาม


1 บิตคอยน์ เท่ากับกี่บาท ?

         มูลค่าของบิตคอยน์เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาเหมือนสกุลเงินอื่น ๆ ตามกลไกตลาด หรือที่เราเรียกว่าหลัก Demand Supply คือช่วงไหนที่ความต้องการบิตคอยน์มีมากกว่าปริมาณบิตคอยน์ที่มีในระบบ ก็จะส่งผลให้มูลค่าบิตคอยน์เพิ่มขึ้น เช่น ในช่วงที่มัลแวร์เรียกค่าไถ่ด้วยเงินบิตคอยน์ กลับกันหากบิตคอยน์ในระบบมีมากเกินความต้องการก็จะทำให้มูลค่าลดลง

          ทั้งนี้ อัตราแลกเปลี่ยนแรกของบิตคอยน์ถูกกำหนดขึ้นในเดือนตุลาคม 2552 ไว้ที่ 1 BTC เท่ากับ 0.000764 USD กระทั่งในเดือนพฤศจิกายน 2553 บิตคอยน์สามารถเพิ่มมูลค่าอย่างรวดเร็วเป็น 1 BTC เท่ากับ 0.50 USD และค่อย ๆ มีมูลค่าขึ้นมาเรื่อย ๆ กลายเป็นหลักร้อย หลักพัน และหลักหมื่น ในปัจจุบัน

         โดยราคาบิตคอยน์ดีดตัวขึ้นแรงในช่วงปี 2560 และทำสถิติไว้ราว 20,000 USD ต่อ 1 BTC หรือกว่า 600,000 บาท เลยทีเดียว จากการเข้ามาเก็งกำไรของนักลงทุน แม้จะมีกระแสคำเตือนต่าง ๆ จากนักวิเคราะห์ว่าอาจเกิด "ภาวะฟองสบู่" กับตลาดบิตคอยน์ ก่อนที่สุดท้ายบิตคอยน์จะร่วงลงอย่างหนักตลอดปี 2561-2562 ทำจุดต่ำสุดที่ประมาณ 3,200 USD ส่งผลให้นักลงทุนขาดทุนยับเยิน

 

          ราคาบิตคอยน์ยังผันผวนต่อเนื่อง จนประมาณกลางปี 2563 ราคาเริ่มดีดตัวกลับขึ้นมาเรื่อย ๆ และสร้างสถิติใหม่ในเดือนธันวาคม 2563 ที่มีมูลค่าทะลุไปกว่า 27,000 USD ต่อ 1 BTC หรือกว่า 800,000 บาท เลยทีเดียว ก่อนจะพุ่งแตะหลักล้านเป็นครั้งแรกในวันที่ 3 มกราคม 2564 โดยทำสถิติสูงสุดที่ 34,800 USD คิดเป็นเงินไทยประมาณ 1.01 ล้านบาท 

 

          กระทั่งในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 บริษัท เทสลา อิงค์ ของอีลอน มัสก์ ค่ายรถยนต์ไฟฟ้ายักษ์ใหญ่ของโลก ได้เข้าซื้อบิตคอยน์มูลค่า 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 4.5 หมื่นล้านบาท) และประกาศว่าจะให้ลูกค้าใช้เงินบิตคอยน์ซื้อผลิตภัณฑ์ของบริษัทได้ด้วย เหตุการณ์นี้ส่งผลให้ราคาบิตคอยน์พุ่งขึ้นไปเกิน 47,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.4 ล้านบาท) ต่อ 1 บิตคอยน์ ทำนิวไฮอีกครั้ง

 

          อย่างไรก็ดี บิตคอยน์ ถือเป็นสกุลเงินที่มีความผันผวนเป็นอย่างมาก โดยเคยร่วงถึง 20% ภายใน 2 วัน และเคยร่วงถึง 800 USD ภายในชั่วโมงเดียว ซึ่งนับว่าสูงมากเมื่อเทียบกับเงินสกุลปกติ หรือการลงทุนในหุ้นที่เฉลี่ยต่อวันจะเปลี่ยนแปลงไม่ถึง 1% ด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นผู้ที่สนใจเข้ามาลงทุนหรือเก็งกำไร ควรจะต้องศึกษาข้อมูลและหาความรู้เพิ่มเติมอย่างละเอียด ไม่เช่นนั้นอาจจะหมดตัวได้ง่าย ๆ

บิตคอยน์ (Bitcoin) ผิดกฎหมายไหม เป็นที่ยอมรับหรือยัง ?

 

          ด้วยความนิยมที่สูงขึ้นของสกุลเงินดิจิทัลในประเทศไทย ทำให้เมื่อเดือนมิถุนายน 2561 สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ออกมาให้ความชัดเจนแล้วว่า สามารถซื้อ-ขายแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลในไทยได้อย่างถูกกฎหมาย ภายใต้พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 โดยต้องผ่าน 7 สกุลเงินดิจิทัลที่กำหนดเท่านั้น ซึ่งบิตคอยน์ก็เป็นหนึ่งในนั้น 

 

           - รู้จัก 7 สกุลเงินดิจิทัลที่ "ก.ล.ต." อนุญาตให้ซื้อ-ขายได้

         อย่างไรก็ตาม ธนาคาร สถาบันการเงินต่าง ๆ ที่ต้องการระดมทุนและให้บริการแลกเปลี่ยนบิตคอยน์ จะต้องยื่นขออนุญาตจากทาง ก.ล.ต. ก่อน

         ขณะเดียวกันปัจจุบันมีหลายประเทศที่ยอมรับบิตคอยน์อย่างถูกกฎหมาย อาทิ ประเทศในทวีปยุโรป สหรัฐอเมริกา แคนาดา และญี่ปุ่น เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีผู้ประกอบการหลายรายที่ยอมรับการชำระสินค้าเป็นเงินสกุลบิตคอยน์ เช่น Dell, Expedia, Greenpeace, Wikipedia รวมทั้ง PayPal

++6.jpg

บิตคอยน์ (Bitcoin) โอกาสหรือความเสี่ยง ?

         สำหรับการใช้บิตคอยน์ หรือสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ เพื่อใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการ นำมาซึ่งความสะดวกในหลายด้าน เนื่องจากไม่จำเป็นต้องพกเงินสด อยากโอนให้ใครบนโลกนี้ก็ทำได้ง่าย ๆ ไม่ต่างจากการส่งอีเมล และนับวันสกุลเงินดิจิทัลก็ค่อย ๆ เริ่มเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเรามากขึ้น
     
         แต่ความเสี่ยงของเงินสกุลนี้ก็ยังมีอยู่มากเช่นกัน ได้แก่ ค่าเงินที่มีความผันผวนสูง เป็นช่องทางการฟอกเงินอีกหนึ่งรูปแบบ รวมทั้งยังเป็นช่องทางให้เกิดการโจรกรรมทางอินเทอร์เน็ต เพราะไม่มีการระบุข้อมูลของผู้ใช้ การจับตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษจึงทำได้ยากนั่นเอง ขณะเดียวกันยังมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัย จากการที่บิตคอยน์ไม่มีตัวตนจริง จึงมีโอกาสสูญหายได้หากถูกโจมตีจากไวรัสที่ต้องการเข้ามาป่วนระบบ รวมถึงการที่ธนาคารกลางของประเทศหลายประเทศยังไม่สามารถควบคุมปริมาณเงินในระบบให้มีเสถียรภาพได้ด้วย
   
         ต้องบอกว่าปัจจุบันบิตคอยน์ไม่ใช่เรื่องไกลตัวของเราอีกต่อไปแล้ว เนื่องจากชีวิตประจำวันของทุกคนต้องข้องเกี่ยวกับระบบอินเทอร์เน็ตแน่นอน และบิตคอยน์คงจะมีบทบาทมากขึ้นเรื่อย ๆ กับระบบการเงินของโลกในอนาคต ซึ่งการเรียนรู้ทำความเข้าใจเรื่องนี้เอาไว้ก็ไม่เสียหาย เพราะใครจะไปรู้ว่าอนาคตข้างหน้า "บิตคอยน์" อาจกลายเป็นสกุลเงินหลักที่ใช้กันอย่างแพร่หลายก็ได้

 

bottom of page